แคลเซียม ไม่ใช่ทั้งหมดของกระดูก มัดรวม สารอาหารที่จำเป็นกับระบบกระดูก

สารอาหารที่จำเป็นกับระบบกระดูก

กระดูกมีความสำคัญ ช่วยค้ำจุนโครงสร้างของร่างกาย สร้างรูปร่างให้กับร่างกาย ปกป้องอวัยวะที่สำคัญ และทำงานร่วมกับกล้ามเนื้อเพื่อให้เคลื่อนไหวได้ กระดูกยังควบคุมฮอร์โมน ผลิตเซลล์เม็ดเลือดและกักเก็บแร่ธาตุ

กระดูก มีส่วนประกอบต่างๆ มากมาย ไม่ได้มีเฉพาะแคลเซียมเท่านั้น แต่ยังมี เซลล์ เส้นใยคอลลาเจน และเมทริกซ์ที่มีแร่ธาตุ ดังนั้น การดูแลสุขภาพกระดูกด้วยสารอาหาร จึงต้องมีสารอาหารหลายชนิด ที่สามารถดูแลองค์ประกอบต่างๆ ของกระดูกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เป็นเส้นใยคอลลาเจน และเมทริกซ์ที่มีแร่ธาตุ โดยเส้นใยคอลลาเจน ให้ความยืดหยุ่นกับกระดูก

ส่วนเมทริกซ์ที่มีแร่ธาตุ ทำให้กระดูกมีความแข็งและทนแรงต้าน มีแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมและฟอสเฟต เป็นหลัก

Calcium (แคลเซียม)

Calcium (แคลเซียม)

เป็นแร่ธาตุสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในกระดูก โดยอยู่ในเมทริกซ์ที่มีแร่ธาตุ ช่วยสร้างความแข็งให้กับกระดูก รักษาความหนาแน่นของมวลกระดูกจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการพัฒนาของกระดูก ช่วยควบคุมการเปลี่ยนแปลงของกระดูก ซึ่งเป็นกระบวนการที่เนื้อเยื่อกระดูกเก่าถูกแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อกระดูกใหม่

** ควรเลือกบริโภคแคลเซียมจากแหล่งอาหารธรรมชาติ หรือแคลเซียมที่มีการดูดซึมได้ดี ไม่ตกค้างในร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดหินปูน

Magnesium (แมกนีเซียม)

Magnesium (แมกนีเซียม)

แร่ธาตุแมกนีเซียม เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟันที่แข็งแรง โดยอยู่ในเมทริกซ์ที่มีแร่ธาตุ ช่วยควบคุมสมดุลแคลเซียมในกระดูกและในเลือด ป้องกันไม่ให้แคลเซียมเกาะตามเนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆ นำแคลเซียมเข้าไปเก็บในกระดูกให้ถูกที่ ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อเป็นปกติ จำเป็นต่อการสร้างและบำรุงกระดูกให้แข็งแรง แมกนีเซียมยังช่วยในการดูดซึมแคลเซียม

การบริโภคแมกนีเซียมที่ไม่เพียงพออาจทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน

Vitamin D (วิตามินดี)

Vitamin D (วิตามินดี)

จำเป็นต่อสุขภาพกระดูกและข้อ เพราะช่วยให้ร่างกายดูดซึมและใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญ 2 ชนิดที่จำเป็นสำหรับกระดูกและข้อต่อที่แข็งแรงนำแคลเซียมเข้าไปเก็บในกระดูกให้ถูกที่หากขาดวิตามินดี ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้อย่างเหมาะสมส่งผลให้กระดูกอ่อนแอและมีความเสี่ยงที่จะกระดูกหักเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ วิตามินดี มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งสามารถช่วยลดอาการปวดข้อและข้อแข็งที่เกี่ยวข้องกับสภาวะต่างๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม

**วิตามินดี 3 มีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินดี 2 ในการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือด

Manganese (แมงกานีส)

Manganese (แมงกานีส)

แร่ธาตุแมงกานีส มีความสำคัญต่อสุขภาพกระดูกและข้อ จำเป็นสำหรับการสร้างกระดูกอ่อนซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ยืดหยุ่นซึ่งรองรับข้อต่อ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ให้ความแข็งแรงและโครงสร้างแก่กระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่นๆ

นอกจากนี้ แมงกานีสยังช่วยรักษาความหนาแน่นของกระดูกให้แข็งแรง 1 ใน 4 ของผู้ที่ขาดแมงกานีสจะเป็นโรคกระดูกพรุน

Protein (โปรตีน)

Protein (โปรตีน)

ส่วนประกอบที่สำคัญของโปรตีนคือ กรดอะมิโน โปรตีนจำเป็นต่อสุขภาพของกระดูก เพราะมีส่วนในการสร้างเนื้อเยื่อกระดูกสร้างเส้นใยคอลลาเจนของกระดูก ทำให้กระดูกมีความยืดหยุ่น หากขาดโปรตีนจะทำให้กระดูกอ่อนแอ และเปราะ

Boron (โบรอน)

Boron (โบรอน)

แร่ธาตุโบรอน WHO ระบุว่าสำคัญต่อความหนาแน่นและความแข็งแรงของกระดูก เพราะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลเซียมและแมกนีเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อการรักษากระดูกและข้อต่อให้แข็งแรง โบรอนยังช่วยในการสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนี้โบรอนยังช่วยลดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมทางปัสสาวะ ซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้

มีการศึกษาวิจัย พบว่าการเสริมโบรอนอาจช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ และลดการอักเสบและความเจ็บปวดในผู้ที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่ออธิบายถึงกลไกที่โบรอนช่วยดูแลสุขภาพข้อต่อ

Vitamin C (วิตามินซี)

Vitamin C (วิตามินซี)

วิตามินซี มีบทบาทสำคัญในการบำรุงกระดูกและข้อ

  1. จำเป็นสำหรับการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นพื้นฐานของกระดูก กระดูกอ่อน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่นๆ คอลลาเจนช่วยรักษาโครงสร้างของกระดูกและข้อต่อ และช่วยรักษาความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูก
  2. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระสามารถทำให้เกิดการอักเสบและทำลายกระดูกและข้อต่อ ซึ่งนำไปสู่สภาวะต่างๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อมและโรคกระดูกพรุน
  3. ช่วยดูดซึมแคลเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับสุขภาพกระดูก หากไม่มีวิตามินซีในระดับที่เพียงพอ ร่างกายอาจไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่กระดูกที่อ่อนแอและเพิ่มความเสี่ยงต่อการแตกหัก

**ปริมาณอาหารที่แนะนำ (RDI) สำหรับวิตามินซี จะแตกต่างกันไปตามอายุและเพศ สำหรับผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ RDI คือ 90 มิลลิกรัมต่อวัน

ผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ต้องการ 75 มิลลิกรัมต่อวัน

  • ขนาดสูงสุดที่สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย สูงถึง 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ปริมาณที่สามารถดูดซึมได้ต่อครั้ง อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรูปแบบของวิตามินซี, ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น อายุและสภาวะสุขภาพ และการมีหรือไม่มีสารอาหารอื่นๆ ร่วม
Vitamin K (วิตามินเค)

Vitamin K (วิตามินเค)

โดยเฉพาะวิตามิน K2 ได้รับการกล่าวถึงมากขึ้น เนื่องจากมีรายงานวิจัยแสดงถึงผลดีต่อกระดูกมากขึ้น พบว่า วิตามิน K2 จำเป็นต่อการรักษากระดูกและข้อต่อให้แข็งแรง ทำงานโดยการกระตุ้นโปรตีนที่ช่วยควบคุมการสะสมของแคลเซียมในกระดูกและป้องกันไม่ให้สะสมในเนื้อเยื่อ

การศึกษาพบว่าการบริโภควิตามิน K2 ที่เพิ่มขึ้นอาจช่วยลดการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง ลดการเกิดหินปูนในหลอดเลือดและลดอุบัติการณ์ของโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจ

การบริโภควิตามิน K2 อย่างเพียงพอยังแสดงให้เห็นว่าสามารถกระตุ้น Matrix Gla Protein (MGP) ซึ่งยับยั้งแคลเซียมไม่ให้สะสมในผนังหลอดเลือดและช่วยป้องกันความเสียหายของหลอดเลือด โดยรวมแล้ว หลักฐานบ่งชี้ว่าวิตามิน K2 เป็นสารอาหารที่มีคุณค่าสำหรับการรักษาหลอดเลือดแดงให้แข็งแรงด้วย

** สำหรับผู้ทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ควรปรึกษาแพทย์ร่วมด้วย หากต้องการบริโภควิตามินK เสริม

Black Sesame Extract (สารสกัดจากงาดำ)

Black Sesame Extract (สารสกัดจากงาดำ)

สารสำคัญในงาดำ คือ Sesamin(เซซามิน) ซึ่งเป็นสารประเภท Lignan (ลิกแนน) มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบที่กระดูกและข้อ ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียกระดูกและดูแลสุขภาพกระดูก

Soy Bean Extract (สารสกัดจากถั่วเหลือง)

Soy Bean Extract (สารสกัดจากถั่วเหลือง)

ช่วยรักษาภาวะปกติของกระดูก ลดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูก เพิ่มการสร้างกระดูก สารสกัดจากถั่วเหลืองมีสารประกอบที่เรียกว่า isoflavone (ไอโซฟลาโวน) ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพกระดูก ไอโซฟลาโวนเป็นไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งหมายความว่ามีโครงสร้างคล้ายกับเอสโตรเจนและสามารถเลียนแบบการออกฤทธิ์อย่างเอสโตรเจนได้ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำหน้าที่ในการควบคุมเซลล์สร้างกระดูก และเซลล์สลายกระดูก ให้ทำงานอย่างสมดุล

แต่เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน จะเริ่มมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้เกิดผลกระทบต่อกระบวนการควบคุมของเซลล์ทั้งสองนี้ไป ส่งผลให้มีการสร้างเซลล์สร้างกระดูกลดลง แต่มีการสร้างเซลล์ทำลายกระดูก เพิ่มมากขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ มีการสลายกระดูก (bone reabsorption) มากขึ้น ทำให้เกิดโรคกระดูกบาง (osteopenia) หรือกระดูกพรุน (osteoporosis) ตามมาได้ นอกจากนี้ สารสกัดจากถั่วเหลืองยังช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมด้วย

เรียบเรียงบทความโดย ภญ.นวพร สุขเดโชสว่าง B.Pharm of Mahidol University
เภสัชศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

error: Content is protected !!